ตามหลักฐานที่พอทราบสันนิษฐานว่าวัดบักดองก่อตั้งขึ้นเมื่อ� พ.ศ.2411� และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งแรกเมื่อ� พุทธศักราช 2482หลังจากนั้นเมื่พระครูวีรปัญญาภรณ์ได้มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลเห็ยว่าอุโบสถ์หลังเก่าทรุดโทรมมากแล้ว� �เกรงว่าจะเกิดอันตรายเวลาประกอบสังฆกรรม� จึงทำการประชุมกับคณะกรรมการหมู่บ้านและวัด� แล้วทำการรื้อและสวดถอนวิสุงคามสีมา� �ทำการสร้างพระอุโบสถ์หกลังใหม่� และได้ขจอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่� ได้รับพระราชทานเขตวิสุงคามสีมาใหม่ใน� �วันที่� 10� ธันวาคม 2551
ประวัติเมืองกัณฑ์ (บ้านบักดอง)
��������������� บ้านบักดองเป็นหมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณบ้านบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้าน มีต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งภาษาพื้นเมืองเรียกว่า ต้นบักดอง ภาคอีสานบางถิ่นเรียกว่า ต้นไข่เน่า ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงตั้งชื่อว่า หมู่บ้านบักดอง หลักฐานที่ปรากฏในการเลือกตั้งเมือง คือ เสาหลักเมือง ซึ่งทำด้วยไม้มันปลา ที่ปลายเสาสลักเป็นรูปดอกบัวยาวประมาณ 1.50 เซนติเมตร ปัจจุบันตั้งอยู่ที่บ้านบักดอง หมู่ที่ 3 และหลักฐานที่ปรากฏอีกอย่างหนึ่งคือ หลักหิน ซึ่งเป็นหลักกั้นอาณาเขตในการปกครอง ขุดได้ในบ้านหลักหิน มีความยาวประมาณ 1.50 เซนติเมตร กว้าง 50 เซนติเมตร ปัจจุบันเก็บไว้ที่วัดบ้านหลักหิน ลักษณะเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยม ฐานบนแกะสลักเป็นรูปดอกบัว ประวัติการสร้างเมือง บริเวณพื้นที่ที่เป็น “เมืองกัณฑ์” เป็นที่ตั้งของบ้านลาวเดิม หรือบ้านหลักหิน ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นที่เข้าใจกันว่า ชนชาติกวย หรือ ส่วย เป็นบรรพชนเจ้าของพื้นที่มาดั้งเดิม และเป็นอยู่สืบสานมรดกทางวัฒนธรรม ผู้สร้างเมืองกัณฑ์ คือ “พระกัณฑ์ ” เชื้อสายพระยาขุขันธ์ ภักดีศรีนครลำดวน พ.ศ. 2395 ประวัติการสร้างเมืองสมัยรัตนโกสินทร์
���������� พ.ศ. 2410 พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (วัง) กราบทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ขอตั้งตำบลห้วยลำแสนไพอาบาล เป็นเมืองกันทรลักษ์ ให้พระแก้วมนตรี (พิมพ์) เป็น พระกันทรลักษ์ พระราชทานถาดหมาก คนโทเงิน สำรับประคำสัปทนปัสตู เสื้อเข็มขาบริ้วดอกอย่างละหนึ่ง เป็นเครื่องยศเหมือนกันทั้งสองเมือง ให้ทั้งสองเมืองขึ้นต่อขุขันธ์ เมืองใหม่ทั้งสองเมืองนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ในเขตศรีสะเก ษปัจจุบัน แต่อยู่ถัดลงไปทางภูเขาพนมดงรัก จึงมีปัญหาการตั้งเมืองภายหลัง
���������� พ.ศ. 2411 ผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสที่เมืองไซ่ง่อน แจ้งต่อรัฐบาลสยามว่าตามที่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครล ำดวน (วัง) มีหนังสือแจ้งไปยังเมืองกำปงสวายประเทศกัมพูชาในบำรุ ง (เมืองขึ้น) ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นนั้น� ครั้นความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระราชดำริสงสัยว่าเมื่อ พ.ศ. 2410 พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (วัง) ขอตั้งตำบลห้วยลำแสนไพอาบาล เป็นเมืองกันทรลักษ์ และบ้านกันตวด ตำบลห้วยอุทุมพร เป็นเมืองอุทุมพรพิสัย นั้นไม่ได้ความชัดเจนว่า เขตแขวงเมืองทั้งสองจะขนาบคาบเกี่ยวกับเขตแดนกัมพูชา ประการใด จึงโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงเดชอัศดร ขุนอินทร์อนันท์ เป็นข้าหลวงออกไปพร้อมด้วยพระยาทรงพลเป็นกรรมการไต่สวนและตรวจทำแผนที่ส่งกรุงเทพ ฯ แล้วให้ย้ายเมืองกันทรลักษ์ มาตั้งที่บ้านลาวเดิม ( หมู่ 2 ปัจจุบัน ) บ้านบักดอง (ม.3) แล้วจึงย้ายไปตั้งที่บ้านน้ำอ้อมเป็นอำเภอน้ำอ้อม ภายหลังย้ายเมืองอุทุมพรพิสัย มาตั้งที่บ้านผือ (ปรือ) ตำบลเมือง อำเภอกันทรลักษ์ปัจจุบันนี้ ในศกเดียวกัน ทรงโปรดเกล้า ฯ ตั้งให้พระบริรักษ์ (อ้น) กองนอก เป็นพระแก้วมนตรียกกระบัตรเมืองขุขันธ์ ครั้นขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสวยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี การตั้งเมืองกันทรลักษ์ เมื่อมาตั้งอยู่บริเวณบ้านหลักหิน ได้สร้างศาลหลักเมืองที่บ้านบักดองและสร้างวัดพร้อมกัน เมื่อสร้างเสร็จชาวเมืองเรียกชื่อเมืองตามนามผู้ตั้ง ว่า “ เมืองกัณฑ์ ” เมืองกัณฑ์ นับตั้งแต่สร้างเสร็จ 45 ปี ก็สิ้นสุดลง มีเจ้าเมืองผู้ปกครอง 2 คน คือ พระกัณฑ์ผู้เป็นบิดา และพระกัณฑ์ผู้เป็นบุตร เมื่อถึงแก่อนิจกรรมฐานะของเมืองก็ยกฐานะเป็นอำเภอ และถอนนามเมืองไปตั้งเป็นอำเภอกันทรลักษ์ ปัจจุบัน ส่วนประชาชนชาวเมืองก็ตั้งชื่อบ้านใหม่ว่า “บ้านบักดอง” เหตุที่ตั้งชื่อว่า บ้านบักดอง เพราะเดิมบริเวณที่พระกัณฑ์ตั้งเมืองเป็นป่าเนินราบและมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีดอกชุกชุมอยู่บริเวณนั้นมาก ในภาษาพื้นเมืองในแถบนั้นเรียกว่า “ต้นบักดอง” ซึ่งภาคอีสานบางถิ่น เรียกว่า “ต้นไข่เน่า”
ที่มา : http://www.wattiabsilaram.net/thread-4-1-1.html������
ประวัติวัดบักดอง
��������������� ตามหลักฐานดังกล่าวข้างต้น สันนิษฐานได้ว่าวัดบักดองได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปีพุทธศักราช 2411และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2482 หลังจากนั้น เมื่อพระครูวีรปัญญาภรณ์ ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลบักดอง เห็นว่าอุโบสถมีความชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว ใช้ประกอบสังฆกรรมไม่ได้ เกรงจะเกิดอันตราย ได้รื้ออุโบสถหลังเก่าและได้มีการสวดถอนเขตวิสุงคามสีมา สร้างอุโบสถหลังใหม่ และได้ขอพระราชทานเขตวิสุงคามสีมาใหม่ และได้รับเขตวิสุงคามสีมาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2551 พื้นที่วัด ปัจจุบัน วัดบักดองตั้งอยู่ที่บ้านบักดอง หมู่ที่ 3 ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ 13 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา มีพื้นที่ติดกับพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้ ทิศตะวันออกมีพื้นติดกับถนนหลวง ทิศใต้ มีพื้นที่ติดกับถนนสาธารณะ ทิศตะวันตกมีพื้นที่ติดกับที่ชาวบ้านบักดองหมู่ที่ 3 ทิศเหนือมีพื้นที่ติดกับที่ชาวบ้านบักดองหมู่ที่ 3
ศาสนสถานในวัด
������������������� 1. อุโบสถ
������������������� 2. ศาลาการเปรียญ
������������������� 3. ศาลาหอฉัน
������������������� 4. กุฏิสงฆ์ ๓ หลัง
������������������� 5. ฌาปนสถานและศาลาพักศพอย่างละ 1 หลัง
������������������� 6. ซู้มประตู 2 ด้าน (ทิศตะวันออกและทิศเหนือ)
������������������� 7. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด
���������������� หลวงพ่อเงิน ซึ่งเป็นพระรูปเก่าแก่ คาดว่ามีอายุ 100 ปี (ดูรายละเอียดในประวัติหลวงพ่อเงิน ทำเนียบเจ้าอาวาสวัดบักดอง ตั้งแต่ก่อตั้งวัดมาตั้งแต่ พ.ศ.2411 ไม่ปรากฏปีที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ปรากฏชื่อพระสงฆ์ทั้งที่เป็นเจ้าอาวาสและที่มาจำพรรษาตามลำดับดังนี้ 1. หลวงพ่อนาค - ไม่ปรากฏปี 2. หลวงพ่อวัน - ไม่ปรากฏปี 3. หลวงพ่ออุด - ไม่ปรากฏปี 4. หลวงพ่อพัฒน์ อนาลโย ไม่ปรากฏปี 5. หลวงพ่อผาง - ก่อนที่จะไปสร้างวัดหลักหิน 6. หลวงพ่อมา - ไม่ปรากฏปี 7. หลวงพ่อปุด - จากวัดหลักหินประมาณ พ.ศ.2516 8. หลวงพ่อเยียน - ไม่ปรากฏปี 9. พระเมิง - ไม่ปรากฏปี 10. พระสมุทร - ไม่ปรากฏปี 11. พระสำเริง พานจันทร์ ไม่ปรากฏปี 12. พระทิม - จากวัดสำโรงเกียรติ 13. พระบาง (จากบ้านโคกท่อน) ไม่ปรากฏปี 14. พระครูวีรปัญญาภรณ์ (มี วีรปัญโญ) พ.ศ. 2519 – 2546 15. พระอธิการปัญญา ปัญญาวุฑโฒ พ.ศ. 2547- 2552 16. พระมหายุทธกิจ ปัญญาวุโธ พ.ศ. 2553 - ปัจจุบัน
ประวัติหลวงพ่อเงิน “
....พ.ศ. 2444 – 2445 ในยุคปฏิรูปการปกครอง (ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ท้าวบุญจัน น้องชายพระยาขุขันธ์ ร่วมมือกับท้าวทัน บุตรพระยาขุขันธ์ และหลวงรัตนกรมการเมืองที่หมดอำนาจ หนีไปตั้งตัวเป็นผู้มีบุญ อยู่ที่สันเขาบรรทัดเขตเมืองขุขันธ์ (บริเวณที่เป็นอาณาเขตเมืองกันทรารักษ์หรือบ้านบักดองในปัจจุบัน) ราษฎรเข้าเป็นพรรคพวกจำนวนมากประมาณ 6,000 คน พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้โปรดให้ร้อยโทหวั่น ร้อยตรีเจริญ ร้อยตรีอินไปตรวจเมืองขุขันธ์และนำกำลังไปจับท้าวบุญจัน ร้อยโทหวั่น ได้ร่วมกับกรมการเมืองขุขันธ์นำกำลังไปจับท้าวบุญจัน ปะทะกันถึงขั้นตะลุมบอนกับกองระวังหน้าของท้าวบุญจัน เมื่อวันที่ 11 และ 13 มีนาคม พ.ศ. 2444 ยังผลให้ท้าวบุญจันทร์ตายในที่รบ ณ บริเวณพนมปีกกา (ซำปีกกา) กำลังของท้าวบุญจันเป็นเพียงชาวบ้านที่ไม่ได้รับการฝึกแบบทหาร อาวุธก็ไม่มี จึงพ่ายแพ้แตกหนีไปโดยง่าย กำลังของร้อยโทหวั่น ได้ตรวจตราตลอดท้องที่เมืองขุขันธ์ เมืองศรีสะเกษ ก็ไม่พบว่ามีผู้มีบุญอีก เหตุการณ์ก็สงบเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงวิตกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้มรสารตราพะราชสีห์ใหญ่ที่ 45/12614 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2444 ให้มีพระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลบูรพาส่งข้าหลวงไปตรวจตราเมืองขุขันธ์ และช่วยราชการทางเมืองขุขันธ์ด้วย ในเหตุการณ์ที่ปราบกบฏท้าวบุญจันในครั้งนั้น กลุ่มชนที่กระจัดกระจายเกิดความไม่พอใจ นำโดยนายสิงโต สอดแก้วนำผู้คนไปเผาเมืองพระกันทรารักษ์ และบ้านยายยู (นางทองอยู่ เจริญศรีเมือง เป็นเมียพระกันทรารักษาบาล (อ่อน) ซึ่งเป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติ เช่นเงินกำไล เครื่องประดับต่าง ๆ เป็นต้น เงินที่เสียหาย จาการเผาเมืองในครั้งนั้น ยายยูจึงนำมาหล่อเป็นหลวงพ่อเงิน และสมัยต่อมาได้ยุบเมืองกันทรารักษ์ ให้ขึ้นตรงต่อเมืองขุขันธ์ ต่อมาเรียกว่า ตำบลบักดอง หลวงพ่อเงินเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยเงินแท้ ที่ได้รับความเสียหายจากการเผาเมืองในครั้งนั้น น้ำหนัก 70 กิโลกรัม หน้าตักกว้าง 1 ฟุต 5 นิ้ว สูง 2 เมตร 3 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงาม เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านบักดอง สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมากกว่า 100 ปี ปัจจุบันประดิษฐานที่วัดบักดอง ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
ขอขอบคุณ นายอรรควิช คุโรปการนันท์ ส.จ.ศรีสะเกษ เขตขุนหาญ เขต 1 ผู้รวบรวมข้อมูล
เอกสารเกี่ยวกับวัด 1 : ประวัติวัดบักดอง (28.65 kb)
เอกสารเกี่ยวกับวัด 2 : ประวัติหลวงพ่อเงิน (28.65 kb)